อัพสกิลช่างภาพ: จัดแสง Portrait สไตล์มืออาชีพจาก Tim Hove

หนังสือ “Lighting for Portrait Photography: From Snapshots to Great Shots” โดย Tim Hove (หรือหนังสือในชุด “From Snapshots to Great Shots” ซึ่งมีหลายเล่มและหลายผู้เขียน ครอบคลุมหัวข้อต่างๆ) มักจะเน้นที่การเปลี่ยนภาพถ่ายธรรมดาให้กลายเป็นภาพที่ยอดเยี่ยมโดยใช้แสงเป็นหลัก นอกจากเทคนิคพื้นฐานอย่าง Three-Point Lighting และ Rembrandt Lighting แล้ว โดยทั่วไปหนังสือในซีรีส์นี้มักจะให้ทริคและเทคนิคที่น่าสนใจอื่นๆ ดังนี้ครับ (อ้างอิงจากลักษณะเนื้อหาของหนังสือในซีรีส์นี้)

ทริคและเทคนิคการจัดไฟที่น่าสนใจเพิ่มเติม

  1. การทำความเข้าใจ “ลักษณะ” ของแสง (Characteristics of Light): ก่อนที่จะลงมือจัดไฟ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจคุณสมบัติพื้นฐานของแสงเสียก่อน ซึ่งมักจะครอบคลุมในหนังสือที่ดีๆ เกี่ยวกับการจัดแสง:
    • ทิศทาง (Direction): แสงมาจากทางไหน? ด้านหน้า, ด้านข้าง, ด้านบน, ด้านล่าง, ด้านหลัง? แต่ละทิศทางให้ผลลัพธ์ต่างกัน
    • ความเข้ม (Intensity): แสงสว่างจ้าแค่ไหน? มีผลต่อการเปิดรับแสง
    • สี (Color Temperature): แสงมีอุณหภูมิสีอย่างไร? อุ่น (ส้ม/เหลือง) หรือเย็น (ฟ้า/ขาว) มีผลต่ออารมณ์ของภาพ
    • ความคมชัด/นุ่มนวล (Hardness/Softness): แสงสร้างเงาคมชัดหรือนุ่มนวล? แสงแข็งสร้างเงาคม, แสงนุ่มสร้างเงาไล่ระดับ
    • คอนทราสต์ (Contrast): ความแตกต่างระหว่างส่วนที่สว่างที่สุดและมืดที่สุดในภาพ
  2. การใช้แสงแบบ Clamshell Lighting: เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการถ่ายภาพ Portrait เพื่อให้แสงบนใบหน้านุ่มนวลและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะบริเวณใต้คางและใต้ตา
    • Setup: ใช้แหล่งกำเนิดแสงหลัก (เช่น Softbox หรือ Beauty Dish) วางไว้ด้านบนและหันลงมาเล็กน้อย และใช้รีเฟล็กเตอร์หรือแหล่งกำเนิดแสงอีกอันวางไว้ด้านล่าง (ใต้แบบ) หันขึ้นไปที่ใบหน้า เพื่อเติมเงาที่เกิดจากแสงด้านบน
    • Mood & Tone: ให้แสงที่สวยงามบนใบหน้า ลดริ้วรอยและเงาที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้แบบดูอ่อนเยาว์และกระจ่างใส มักใช้ในการถ่ายภาพแฟชั่นหรือ Beauty
  3. การใช้ Beauty Dish: เป็น Light Modifier ที่ให้แสงที่มีลักษณะเฉพาะตัวระหว่าง Softbox กับ Reflector
    • ลักษณะแสง: ให้แสงที่ค่อนข้างนุ่มนวลกว่าแสงตรง แต่มีคอนทราสต์และมิติมากกว่า Softbox สร้างเงาที่คมชัดแต่มีการไล่ระดับอย่างสวยงาม และมักจะสร้าง Catchlight (แสงสะท้อนในดวงตา) ที่เป็นวงกลมสวยงาม
    • Mood & Tone: เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ Beauty, แฟชั่น, หรือ Portrait ที่ต้องการความคมชัดของผิวและรายละเอียดของใบหน้า แต่ยังคงความนุ่มนวลและสง่างาม
  4. การจัดแสงเพื่อเน้น Texture และ Detail: การใช้แสงด้านข้าง (Side Lighting) หรือแสงเฉียง (Skim Lighting) สามารถช่วยเน้นพื้นผิวและรายละเอียดของวัตถุได้อย่างดี
    • Setup: วางแหล่งกำเนิดแสงไว้เกือบขนานกับพื้นผิวที่ต้องการเน้น เช่น แสงส่องมาจากด้านข้างเกือบ 90 องศา จะทำให้เงาที่เกิดจากพื้นผิวเล็กๆ ปรากฏชัดเจนขึ้น
    • Mood & Tone: เหมาะสำหรับการถ่ายภาพสินค้า, อาหาร, หรือ Portrait ที่ต้องการเน้นผิวสัมผัส เช่น ผิวหนัง, เส้นผม, หรือเนื้อผ้า
  5. เทคนิคการ “Feathering” แสง: เป็นการใช้ประโยชน์จาก “ขอบ” ของแสงที่ออกจาก Light Modifier (เช่น Softbox) ซึ่งมักจะนุ่มนวลกว่าส่วนกลางของแสง
    • Setup: แทนที่จะหัน Softbox ตรงไปยังแบบ ให้หัน Softbox เลยแบบไปเล็กน้อย แล้วใช้เฉพาะขอบของแสงที่ตกกระทบแบบ
    • Mood & Tone: ช่วยให้ได้แสงที่นุ่มนวลและมีการไล่ระดับอย่างเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ทำให้เงาดูไม่แข็งกระด้าง
  6. การใช้ Grids (หรือ Egg Crates): Grids เป็นอุปกรณ์เสริมที่ติดเข้ากับ Softbox หรือ Reflector เพื่อจำกัดทิศทางของแสง ทำให้แสงพุ่งตรงไปยังจุดที่ต้องการ และลดการฟุ้งกระจายของแสง
    • Setup: ติด Grid เข้ากับ Softbox หรือ Beauty Dish
    • Mood & Tone: สร้างแสงที่เข้มข้นขึ้นเฉพาะจุด ทำให้ฉากหลังมืดลง และสร้าง Dramatic Look ได้ดี นิยมใช้ในการถ่ายภาพ Portrait ที่ต้องการเน้นแบบให้โดดเด่นออกจากฉากหลัง
  7. การใช้ Rim Light / Kicker Light: เป็นแสงที่วางไว้ด้านหลังแบบเพื่อสร้างขอบแสงสว่างรอบๆ ตัวแบบ ทำให้แบบแยกออกจากฉากหลังและดูมีมิติมากขึ้น
    • Setup: วางแหล่งกำเนิดแสง (มักจะเป็น Strobe หรือ Speedlight) ไว้ด้านหลังแบบ อาจจะสูงกว่าแบบเล็กน้อย และหันเข้าหาแบบ
    • Mood & Tone: ทำให้ภาพดูมีมิติ, น่าสนใจ, และโดดเด่น มักใช้ร่วมกับ Three-Point Lighting เพื่อเพิ่มความซับซ้อนให้กับแสง

อ้างอิงเชิงศิลปะเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคเหล่านี้

  • Rembrandt Lighting: ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพวาดของจิตรกรชาวดัตช์ Rembrandt van Rijn ซึ่งมักใช้เทคนิคแสงแบบนี้เพื่อสร้างความลึกซึ้งและดราม่าในภาพวาดของเขา (Hove, 2007)
  • Chiaroscuro (เคียรอสคูโร): เป็นเทคนิคการจัดแสงและเงาในงานศิลปะ (โดยเฉพาะภาพวาด) ที่เน้นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างส่วนที่สว่างและมืด เพื่อสร้างความลึกและปริมาตร การใช้แสงแข็ง (Hard Light), แสงด้านข้าง (Side Lighting) หรือการใช้ Grids เพื่อสร้างเงาที่คมชัด ล้วนเป็นการประยุกต์ใช้หลักการ Chiaroscuro ในการถ่ายภาพ เพื่อสร้าง Mood & Tone ที่ดราม่าและมีพลัง
  • Sfumato (สฟูมาโต): เป็นเทคนิคการวาดภาพของ Leonardo da Vinci ที่ใช้การไล่ระดับสีและแสงอย่างนุ่มนวล ไม่มีเส้นขอบที่ชัดเจน ทำให้ภาพดูคลุมเครือและมีหมอก การใช้แสงนุ่ม (Soft Light), Softbox ขนาดใหญ่, หรือการ Feathering แสง สามารถสร้าง Mood & Tone ที่คล้ายคลึงกับ Sfumato ในการถ่ายภาพ Portrait ทำให้ภาพดูอ่อนโยนและลึกลับ

การทำความเข้าใจหลักการเหล่านี้จากหนังสืออย่าง “Lighting for Portrait Photography: From Snapshots to Great Shots” จะช่วยให้ช่างภาพสามารถ “มองเห็น” แสงได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสรรค์ภาพถ่ายที่มีคุณภาพและสื่ออารมณ์ได้อย่างทรงพลังครับ

อ่านบทความเพิ่มเติม คนที่อยากอัพสกิลช่างภาพ

อัพเดท 2025- รวม 8คอร์สเรียนรูปออนไลน์มันส์ๆ ฟรี
10 เคล็ดลับอัพสกิล ถ่ายรูป Portrait
หาไอเดียถ่ายภาพ 15 ประเภท ที่มือใหม่ไม่ควรพลาด
4 เทคนิค ถ่ายรูปพอร์ตเทรด จากอินฟลูเอนเซอร์สายถ่ายภาพ